เลนส์โปรเกรสซีฟ Essilor Varilux Physio 3.0
เลนส์โปรเกรสซีฟ Essilor Varilux Physio 3.0
ให้การมองเห็นที่ดีเยี่ยมแม้ในสภาวะที่มีแสงน้อย
เทคโนโลยีในการดีไซน์เลนส์ที่ใช้แผนภูมิขนาดของรูม่านตาบนตัวเลนส์เข้ามาคำนวณในเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Wave 2.0 ซึ่งสามารถช่วยลดภาพภาพบิดเบือนได้
ช่วยเปลี่ยนโฟกัสการมองอย่างรวดเร็ว
มีการนำค่าสายตาสองข้างมาใช้ในการวิเคราะห์ช่่วยให้การปรับโฟกัสในทุกระยะเป็นไปได้อย่างรวดเร็วจากไกลมาใกล้และบาลานซ์ให้ภาพจากดวงตาทั้งสองข้างมีคุณภาพที่ใกล้เคียงกันเพื่อการมองเห็นจากตาทั้งสองข้างที่ดีที่สุด
เปลี่ยนระยะการมองได้อย่างราบรื่น
สร้างเส้นทางการมองของแต่ละบุคคลด้วยเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Path Optimizer
เหมาะสำหรับ
เหมาะสำหรับผู้ที่มีไลฟสไตล์กระฉับกระเฉง ตัวเลนส์จะช่วยให้ปรับเปลี่ยนโฟกัสได้รวดเร็วและนุ่มนวลเป็นเศษ
เทคโนโลยีใน Varilux Physio 3.0
Varilux Physio 3.0 เป็นตัวเลือกพิเศษของเลนส์โปรเกรสซีฟสำหรับผู้สวมใส่ที่มีไลฟ์สไตล์กระฉับกระเฉงและไม่ต้องการให้การมองเห็นส่งผลกับการดำเนินชีวิต เทคโนโลยีที่เพิ่มมาจาก Path Optimizer คือ WAVE 2.0 อีกทั้งยังมี Binocular booster ในการจัดการกับค่าสายตาทั้งสองข้างที่ต่างกันของผู้สวมใส่ ช่วยให้การปรับเปลี่ยนการมองจากไกลมาใกล้ได้อย่างราบรื่นแม้ในขณะที่มีการเคลื่อนไหว
เทคโนโลยีการขัดเลนส์แบบดิจิตัล
Varilux Physio 3.0 มีการใช้เทคโนโลยีการขัดเลนส์แบบดิจิตัลซึ่งจะทำให้ได้เลนส์ที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
1.50 1.60 1.67 1.74 …ตัวเลขกำกับเหล่านี้ที่เราเห็นกันในขณะเลือกชมสินค้าประเภทเลนส์แว่นตา เราเรียกว่า Refractive Index ของเลนส์ หรือถ้าให้เข้าใจอย่างง่ายๆ ก็เปรียบเสมือนกับ “วัสดุ” ที่นำมาใช้ในการผลิตเลนส์
แรกเริ่มเดิมที วัสดุหรือน้ำยาสารตั้งต้น เหล่านี้เป็นของเหลว ก่อนที่จะถูกหลอมขึ้นเป็นชิ้นเลนส์ แต่ก็มีวัสดุบางชนิดที่สารตั้งต้นเป็นของแข็ง เช่น Polycarbonate ซึ่งเป็นวัสดุสำหรับทำเลนส์นิรภัยน้ำยาหรือวัสดุที่นำมาใช้ก่อนหลอมเป็นเลนส์มีด้วยกันอยู่หลายชนิดได้แก่
CR39 , MR8 , MR7 , MR174 หรืออาจจะมีชื่ออื่นๆแล้วแต่บริษัทที่คิดค้นน้ำยาขึ้น
แต่ละวัสดุเมื่อถูกหล่อขึ้นมาเป็นเลนส์จะมีคุณสมบัติของเลนส์ที่ต่างกันในแง่กำลังการหักเหแสง และความหนาบางของเลนส์ที่ได้
วัสดุ CR39 เมื่อถูกหล่อขึ้นมาเป็นชิ้นเลนส์จะมีค่ากำลังการหักเหแสงที่ 1.5 หรือเป็นค่ามาตรฐาน
ในขณะที่ วัสดุ MR174 เมื่อถูกหล่อขึ้นเป็นชิ้นเลนส์จะทำให้เลนส์ชิ้นนั้นมีค่ากำลังการหักเหแสงที่ 1.74 ซึ่งเป็นปริมาณที่มากกว่า
Credit Picture https://www.optometrists.org/general-practice-optometry/optical/guide-to-optical-lenses/guide-to-high-index-lenses/
เลนส์ที่มีกำลังการหักเหแสงที่มากกว่าจะทำให้เลนส์ชิ้นนั้นมีความหนาเลนส์ที่น้อยกว่าหรือบางมากขึ้น
- วัสดุ CR39 เมื่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเลนส์แล้วจะทำให้เลนส์มีดัชนีหักเหแสง Index 1.50 ความหนาของเลนส์อยู่ในระดับมาตรฐาน
- วัสดุ MR8 เมื่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเลนส์แล้วจะทำให้เลนส์มีดัชนีหักเหแสง Index 1.60 ความหนาของเลนส์จะมีความบางมากขึ้น 20% เมื่อเทียบกับเลนส์ที่ดัชนีหักเหแสง index 1.50
- วัสดุ MR7 เมื่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเลนส์แล้วจะทำให้เลนส์มีดัชนีหักเหแสง Index 1.67 ความหนาของเลนส์จะมีความบางมากขึ้น 30% เมื่อเทียบกับเลนส์ที่ดัชนีหักเหแสง index 1.50
- วัสดุ MR174 เมื่อขึ้นรูปเป็นชิ้นเลนส์แล้วจะทำให้เลนส์มีดัชนีหักเหแสง Index 1.74 ความหนาของเลนส์จะมีความบางมากขึ้น 40% เมื่อเทียบกับเลนส์ที่ดัชนีหักเหแสง index 1.50
สรุปและทำความเข้าใจง่ายๆได้ว่ายิ่ง ดัชนีหักเหแสงยิ่งมากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้เลนส์ที่ได้จะมีความบางและเบามากขึ้น
Tips
- เลนส์ที่มีค่า Index 1.50 เหมาะสำหรับผู้ที่มีค่าสายตาไม่มาก รวมถึงผู้ที่เลือกใช้กรอบประเภทกรอบเต็ม
- เรามักเรียกเลนส์ที่มีค่า Refractive index สูงว่า เลนส์ย่อบาง เลนส์ย่อบางเหมาะสำหรับคนที่มีค่าสายตามากๆ เพื่อให้เวลาที่นำเลนส์เข้ากรอบแล้วตัวเลนส์ไม่ล้นออกนอกกรอบแว่นตา และช่วยทำให้ตัวแว่นนั้นมีน้ำหนักไม่หนักจนเกินไป
- การเลือกกรอบแว่นตาก็เป็นปัจจัยที่มีผลต่อการเลือก Index ของเลนส์เช่นกันโดยเฉพาะผู้ที่ใช้กรอบแว่นตาชนิดไร้กรอบ หรือ กรอบเซาะร่อง อาจจะต้องพิจารณาใช้วัสดุเลนส์ Index 1.60 ขึ้นไปเนื่องจากตัวเลนส์จะมีความแข็งแกร่งที่มากกว่าวัสดุเลนส์ Index 1.50 การเลือกวัสดุเลนส์ Index 1.60 ขึ้นไปจะลดความเสี่ยงในการเกิดการกระเทาะแตกของเลนส์ได้